เอลซ่า และอันนา สองเจ้าหญิงแห่งอาณาจักร เอเรนเดลล์ ในวันหนึ่ง เอลซ่า ก็ได้เรียนรู้ว่าตัวเองนั้นมีพลังพิเศษที่สามารถเสกหิมะ และน้ำแข็งได้ แต่เจ้าตัวเองกลับมองมันเป็นคำสาป เพราะกลัวว่าพลังนี้จะไปทำร้ายคนอื่น ทั้งคู่จึงเลือกเก็บตัวในวัง พร้อมๆ กับความห่างเหินที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองพี่น้อง จนกระทั่งเวลาผ่านไป เอลซ่าและอันนาจึงเปิดวังอีกครั้งเพื่อเตรียมจัดพิธีราคาภิเษก ซึ่งเมื่อเอลซ่าทราบว่าอันนาจะแต่งงานกับชายที่เพิ่งรู้จักกันแค่วันเดียว ก็ทำให้ทั้งคู่ทะเลาะกันจนเอลซ่าควบคุมพลังตัวเองไม่ได้ จึงหนีออกไปจากเมือง เลยทำให้อันนา ต้องออกไปตามหาเธอ เพื่อปรับความเข้าใจกันอีกครั้ง
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Frozen นั้น นับได้ว่าเป็นหนึ่งใน Animation ที่ทรงอิทธิพลในยุคนี้มากๆ ด้วยความที่ตัวหนังได้นำมาคอนเซปของเจ้าหญิงในแบบ Disney กลับมาอีกครั้งได้เป็นที่สำเร็จ จนทำให้ไม่ว่าจะเป็นเด็กๆ ทั้งหลายที่โตมาในยุคนี้ หรือผู้ใหญ่หัวใจ Disney ก็น่าจะหลงรักเรื่องราวและมนต์เสนห์เหล่านี้กันได้ไม่ยาก ด้วยเนื้อหาที่ดูสนุกชวนประทับใจ รวมถึงประเด็นของเรื่องราวที่ยังเหมาะสำหรับผู้ใหญ่อยู่บ้าง จึงไม่แปลกใจนักที่มันจะเข้าถึงคนได้ทุกเพศทุกวัยในแบบที่ออกมานี้ ใครที่ชอบเจ้าหญิงสไตล์ Disney ในยุคใหม่ๆ แบบไม่ต้องพึ่งพาเจ้าชายที่ไหนอย่าง Brave และ Moana แล้ว ขอแนะนำกันเลย
หลังจากที่ Disney เองก็ขาดช่วงที่จะมีเจ้าหญิงคนใหม่ที่โด่งดังมานาน แม้ว่าการพยายามปั้นเจ้าหญิงยุคใหม่อย่าง Tiana ใน The Princess and the Frog, Rapunzel ใน Tangled หรือแม้แต่ Merida ใน Brave แต่สุดท้ายแล้ว ก็ยังไม่มีเจ้าหญิงคนไหนที่จะโด่งดังในระดับพลุแตกในแบบตัวละครเก่าๆ เลย จนกระทั่งการมาถึงของ เอลซ่า จาก Frozen ที่กลายเป็นเสมือน Iconic เจ้าหญิง Disney สำหรับเด็กยุคนี้ไปเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งแม้ว่า Disney จะใช้ตัวละครที่ดูแบบเป็นเจ้าหญิงจ๋าๆ แต่ทว่าในส่วนของคาแรคเตอร์ตัวละครนั้น ก็มีการปรับให้เข้ากับยุคสมัยใหม่อยู่มาก รวมถึงยังเป็นการลบขนบเดิมๆ จากเจ้าหญิงคนเก่าๆ ด้วย
การปรับเข้ากับยุคสมัยใหม่นั้นเราจะสังเกตได้จากการที่ อันนา พยายามจะแต่งงานกับเจ้าชายที่พบกันได้แค่เพียงไม่กี่วัน โดยที่ยังไม่ได้รู้จักกันดีเสียก่อน ก็ไม่ต่างอะไรจากตัวละครเก่าๆ ของค่าย หลายๆ ตัวที่ต่างตกลงปลงใจกันหลังจากเจอกันไม่กี่ครั้งเท่านั้น อีกทั้งในส่วนของเรื่องราวก็ยังเน้นในส่วนของตัวละครหญิงแกร่ง ที่สามารถทำได้ทุกอย่าง โดยที่ไม่ต้องรอหรือพึ่งพาตัวละครอย่างเจ้าชายให้มาคอยช่วยอีกต่อไป และสามารถอยู่ได้โดยอิสระเป็นตัวของตัวเองโดยที่ไม่ต้องแคร์ใคร ซึ่งก็เข้ากับเพลง Let it go ที่ประกอบเรื่องราวได้เป็นอย่างดี ซึ่งในตัวเพลงและตัวหนังนั้นก็ต่างเป็นส่วนเสริมกันและกันจนเพิ่มความดังให้มากขึ้นไปได้อีก จนสามารถทำให้รายได้ในหนังทะยานไปได้ถึงระดับพันล้านจากทั่วโลกได้เลย
การที่หนังฟีเวอร์ไปได้แบบนี้ คงไม่ได้เกิดจากตัวละครเจ้าหญิงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงเรื่องราวของหนังที่เล่าออกมาได้อย่างสนุก แฟนตาซี มีเรื่องราวที่น่าติดตาม เข้ากับยุคสมัยเป็นอย่างมาก จังหวะเล่าเรื่องก็มีอะไรให้ชวนลุ้นอยู่ตลอด รวมถึงงานภาพที่ทำออกมาได้สีสันสวยสดใสมากๆ ตัวขโมยซีนอย่างโอลาฟเอง ก็สร้างสีสันได้ดี และคอยเรียกเสียงหัวเราะออกมาจากคนดูได้อยู่เสมอ จนทำให้ Frozen นั้น เป็นอีกหนึ่ง Animation ที่ดึงทั้งรากเหง้าความเป็นหนังเจ้าหญิงแบบดั้งเดิมของตัวเองแล้ว และยังใส่ความสดใหม่ที่เข้ากับยุคสมัยเข้าไปได้อย่างลงตัว จนนับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแอนิเมชั่นสุดปังของยุคนี้อีกเรื่องหนึ่งได้เลยทีเดียว